๑.กฎหมายคืออะไร
จงอธิบาย
และการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาคโดยไม่เลือกปฏิบัติหมายความว่าอย่างไร
กฎหมาย คือ คำสิ่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฐ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ประพฤติปฏิบัติตาม บุคคลนั้นก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือได้รับผลเสียหายนั้นด้วย ซึ่งกฏหมายมีลักษณะเป็นคำสั่ง ข้อห้าม ที่มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคม ที่ใช้บังคับได้โดยทั่วไป หากมีใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฏหมายได้บัญญัติไว้
กฎหมาย คือ คำสิ่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฐ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ประพฤติปฏิบัติตาม บุคคลนั้นก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ หรือได้รับผลเสียหายนั้นด้วย ซึ่งกฏหมายมีลักษณะเป็นคำสั่ง ข้อห้าม ที่มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคม ที่ใช้บังคับได้โดยทั่วไป หากมีใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฏหมายได้บัญญัติไว้
ส่วนการบังคับใช้กฎหมายจะต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาคโดยไม่เลือกปฏิบัติ
หมายความว่าเป็นกฎ ข้อบังคับที่นำไปใช้บังคับได้กับทุกคน ไม่มีการเลือก ยกเว้น
หรือไม่มีใครผู้ใดที่จะอยู่เหนือกฎหมาย
ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของไทยที่เป็นระบบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
โดยมีกฏหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
๒.การที่กฎหมายกำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผูู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัีฐ และเอกชน จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ท่านเห็นด้วยหรือไม่เพราะอะไร จงให้เหตุผลประกอบ
๒.การที่กฎหมายกำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผูู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ทั้งของรัีฐ และเอกชน จะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ท่านเห็นด้วยหรือไม่เพราะอะไร จงให้เหตุผลประกอบ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการจัดการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ
ย่อมมาจากครู ผู้สอน หรือบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านการศึกษาค้นคว้า เรียนรู้ อบรม
และการฝึกฝนทักษะ
มีประสบการณ์เฉพาะด้านมาอย่างรอบรู้และแตกฉานในข้อความรู้และข้อปฏิบัตินั้นเป็นอย่างดี
จึงควรมีใบประกอบวิชาชีพ ที่เปรียบเสมือนเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพของครู ผู้สอน
และบุคลากรทางการศึกษาของแต่ละคน เพื่อเป็นการสร้างกรอบทิศทางในการพัฒนาครู ผู้สอน
และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาเพื่อการพัฒนาประเทศ
และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เรียนและผู้ปกครองในการที่จะฝากบุตรหลาน
หรือบุคคลในความครอบครองเข้ารับการศึกษากับครูหรือบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพจริงๆในสถานศึกษาต่างๆ
๓.ท่านมีแนวทางในการระดมทุน
และทรัพยากรเพื่อการศึกษาในท้องถิ่นของท่านอย่างไรบ้าง อธิบายยกตัวอย่าง
มีการระดมทุน
และทรัพยากรเพื่อการศึกษาในท้องถิ่นจากการศึกษาค้นคว้าประวัติและแหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ในชุมชน
โดยการสอบถามจากคนในชุมชน หรือจากผู้รู้ที่มีอยู่ในชุมชน
รวมถึงปราชญ์ชาวบ้านที่มีอยู่ในชุมชน หลังจากนั้นก็จัดทำ
หรือคิดพัฒนาเป็นบทเรียนที่บูรณาการข้อความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่างๆเหล่านั้นเข้ากับกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียนอย่างเหมาะสม
และอาจจะมีการผลิตสื่อต่างๆที่เป็นการประยุกต์
บูรณาการจากทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่แล้วในชุมชน ที่สามารถหาได้ง่าย
และประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน
และนอกจากนี้ก็อาจจะมีการเชิญผู้รู้
หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในด้านต่างๆที่มีอยู่ในชุมชน
มาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่เด็กในห้องเรียนเป็นครั้งคราว
เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
๔.รูปแบบการจัดการศึกษามีกี่รูปแบบอะไรบ้าง และการศึกษาในระบบมีกี่ระดับประกอบด้วยอะไรบ้าง
การจัดการศึกษาของไทย มี ๓ รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
๔.รูปแบบการจัดการศึกษามีกี่รูปแบบอะไรบ้าง และการศึกษาในระบบมีกี่ระดับประกอบด้วยอะไรบ้าง
การจัดการศึกษาของไทย มี ๓ รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
ซึ่งการศึกษาในระบบ มี ๒ ระดับ คือ
การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประกอบด้วย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่า ๑๒ ปีก่อนระดับอุดมศึกษา
และการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น๒ระดับ คือ ระดับต่ำกว่าปริญญา
และระดับปริญญา
๕.ท่านเข้าใจการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐานเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
อธิบายยกตัวอย่างประกอบ
การศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เหมือนกันในประเด็นที่ว่า เป็นกระบวนการที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ
และมีการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม สังคม
อารมณ์และจิตใจในการดำรงชีวิต และที่สำคัญ
คือเป็นกระบวนการพื้นฐานในการสร้างและพัฒนาคน ให้กเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ
แต่มีความแตกต่างกันในระดับชั้น หรือปีของการศึกษา กล่าวคือ
การศึกษาภาคบังคับ คือ
การศึกษาตั้งแต่ชั้นปีที่ ๑ ถึงชั้นปีที่ ๙
ของการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ หมายความว่า
เป็นการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ -ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ การศึกษาตั้งแต่ชั้นปีที่ ๑๐ – ถึงชั้นปีที่ ๑๒ ของการศึกษา หมายความว่า เป็นการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
ตัวอย่าง เช่น เด็กหญิง ก กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หมายความว่าเด็กหญิง
ก กำลังเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับอยู่ และเด็กหญิง ข
กำลังเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ หมายความว่าเด็กหญิง ข
เรียนจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว และกำลังเรียนอยู่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
๖.การแบ่งส่วนราชการในส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ และแก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๓ มีการแบ่งส่วนราชการเป็นอย่างไร
และมีใครเป็นหัวหน้าส่วนราชการดังกล่าว อธิบายยกตัวอย่าง
การแบ่งส่วนราชการในส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
โดยให้มีหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
(๑) สำนักงานรัฐมนตรี
(๒)
สำนักงานปลัดกระทรวง
(๓)
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
(๔)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(๕)
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(๖)
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ให้คณะกรรมการสภาการศึกษา
ประกอบด้วยรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ
พระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น
และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนกรรมการประเภทอื่นรวมกัน
และการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาโดยคำนึงถึง ระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนสถานศึกษา จำนวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสมด้านอื่นด้วย เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาให้รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยคำแนะนำของสภาการศึกษามีอำนาจประกาศในราชกิจจา นุเบกษากำหนดเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาใน กรณีที่สถานศึกษาใดจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา นอกจากนี้การกำหนดให้สถานศึกษาแห่งนั้นอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานใน กรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาหรือมีเหตุผลความจำเป็น อย่างอื่นตามสภาพการจัดการศึกษาบางประเภท คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอาจประกาศกำหนด
และการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาโดยคำนึงถึง ระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนสถานศึกษา จำนวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสมด้านอื่นด้วย เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาให้รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยคำแนะนำของสภาการศึกษามีอำนาจประกาศในราชกิจจา นุเบกษากำหนดเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาใน กรณีที่สถานศึกษาใดจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา นอกจากนี้การกำหนดให้สถานศึกษาแห่งนั้นอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานใน กรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาหรือมีเหตุผลความจำเป็น อย่างอื่นตามสภาพการจัดการศึกษาบางประเภท คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอาจประกาศกำหนด
๗.จงบอกเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ.๒๕๔๖
พระราชบัญญัตินี้บัญญัติขึ้นเพื่อเป็นการสร้างบทบัญญัติต่างๆที่เกี่ยวกับการกำหนดบทบาททางด้านสิทธิและเสรีภาพของครู
และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ การออกและการเพิกถอนใบอนุญาต
การกำกับดูแลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครูและจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครูให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียน
รวมทั้งมีการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาวิชาชีพ ที่เกิดจากการประสานงาน
การส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพครูต่างๆ
เพื่อให้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนและเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างชัดเจน
๘.ท่านเข้าใจหรือไม่ว่า
ถ้ามีบุคลากรไปให้ความรู้หรือสอนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นครั้งคราว
หรือไปสอนเป็นประจำ หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ.๒๕๔๖ถือว่าได้กระทำผิดตาม
พรบ.นี้หรือไม่เพราะเหตุใด
ถ้ามีบุคลากรไปให้ความรู้หรือสอนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นครั้งคราว
หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๖ ถือว่าไม่ได้กระทำผิดตาม
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๖ เพราะถือว่าเข้ามาในฐานะเป็นวิทยากรพิเศษทางการศึกษาและถ้ามีบุคลากรไปให้ความรู้หรือสอนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นประจำ
หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ๒๕๔๖ ถือว่าไม่ได้กระทำผิดตาม
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 เช่นกัน
เพราะบางครั้งอาจจะมีบุคคลากรทางการศึกษาที่ไม่ได้ทำหน้าที่หลักในด้านการจัดการเรียนการสอน
แต่อาจจะต้องมารับทำหน้าที่การจัดการเรียนการสอนด้วย
ซึ่งมีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาพ.ศ.๒๕๔๖ มาตราที่ ๔๒ ส่วนที่ ๕ ที่กล่าวว่า ผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนแต่ในบางครั้งต้องทำหน้าที่สอนด้วย
๙.ท่านเข้าใจความหมายโทษทางวินัย
สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อย่างไร อธิบาย และโทษทางวินัยมีกี่สถาน
อะไรบ้าง
โทษทางวินัย คือ
โทษที่กำหนดบทลงโทษไว้ตาม กฏหมาย กฏ ข้อบังคับ ระเบียบ
และแบบธรรมเนียมที่กำหนดให้ปฏิบัติตามหรืองดเว้นการปฏิบัติ โดยโทษทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
กำหนดไว้ใน มาตรา ๘๒- มาตรา ๙๗ หมวดที่ ๖ วินัยและการรักษาวินัย
พรบ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑) ซึ่งมี 5 สถาน คือ (๑)ภาคทัณฑ์ (๒) ตัดเงินเดือน (๓) ลดขั้นเงินเดือน (๔) ปลดออก (๕) ไล่ออก ซึ่งหากผู้ใดถูกลงโทษปลดออก
ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเสมือนว่าเป็นผู้ลาออกจากราชการ และมาตรา
๙๗ โดยสรุปเป็นการ ลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งให้ทำเป็นคำสั่ง
และวิธีการออกคำสั่งเกี่ยวกับการลงโทษให้เป็นไปตามระเบียบของ ก.ค.ศ.
ผู้สั่งลงโทษต้องสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดและมิให้เป็นไปโดยพยาบาท
โดยอคติหรือโดยมีโทษะจริต หรือลงโทษผู้ที่ไม่มีความผิด
ในคำสั่งลงโทษให้แสดงว่าผู้ถูกลงโทษกระทำผิดวินัยในกรณีใด ตามมาตราใด
และมีเหตุผลอย่างใดในการกำหนดสถานโทษเช่นนั้น
๑๐.ท่านเข้าใจคำว่า เด็ก เด็กเร่ร่อน
เด็กกำพร้า เด็กที่อยู่ในสภาพลำบาก เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด ทารุณกรรม
ที่สอดคล้องกับ พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ อย่างไรจงอธิบาย ตามความเข้าใจของท่าน
เด็ก คือ
บุคคลซึ่งมีอายุน้อยกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ ซึ่งยังเป็นบุคคลหรือเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
แต่ไม่ได้รวมถึงบุคคลที่อายุน้อกว่า18
ปี ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
เด็กเร่ร่อน คือ
เด็กที่ไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองคอยดูแลเลี้ยงดู
หรือมีแต่ไม่ได้อยู่ดูแลหรือเลี้ยงดูซึ่งรวมถึงการมีบิดามารดาหรือผู้ปกครองอยู่แต่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้
จนเป็นเหตุให้เด็กไม่มีบ้าน ต้องเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ
หรือเด็กที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตเร่ร่อนจนน่าจะเกิดอันตรายต่อตัวเด็กเอง
เด็กกำพร้า คือ
เด็กที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิตและไม่มีผู้ปกครอง
รวมถึงเด็กที่ไม่ปรากฏบิดามารดาหรือไม่สามารถสืบหาบิดามารดาได้
เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก คือ เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือบิดามารดาหย่าร้าง
ทิ้งร้าง ถูกคุมขัง หรือแยกกันอยู่และได้รับความลำบาก
หรือเด็กที่ต้องรับภาระหน้าที่ในครอบครัวเกินวัยหรือกำลังความสามารถและสติปัญญา
หรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด คือ เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร
เด็กที่ประกอบอาชีพหรือคบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี
หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย ทั้งนี้
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ทารุณกรรม คือ การกระทำใด ๆ
ที่เป็นเหตุให้เด็กเสื่อมเสียเสรีภาพหรือเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ
การกระทำผิดทางเพศต่อเด็ก
การใช้เด็กให้กระทำหรือประพฤติในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจหรือขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี
ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น